ผู้ถือหุ้นไฟเขียว “UBE” สร้างแลนด์สเคปใหม่ รุกธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นโอชิเน ชูกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง วางเป้ารายได้ 5 ปี เสริมพอร์ทพลังงาน และอาหารแห่งอนาคต

‘บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจร ประกาศข่าวดีผู้ถือหุ้นไฟเขียวลงทุน บจก. โอชิเน เอ็นเตอร์ไพรส์ ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นโอชิเน ชูแผนสร้างแลนด์สเคปใหม่ รุกสร้างการเติบโตก้าวกระโดด หลังแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ชี้อัตราการบริโภคต่อประชากรยังน้อย เดินกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ปักหมุดขยายสาขาต่างจังหวัดและสยายปีกสู่เซาท์อีสต์เอเชีย วางเป้าหมาย 5 ปี กวาดรายได้จากพอร์ตธุรกิจร้านอาหารในสัดส่วน 15 % ของรายได้รวม

นางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ UBE ผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า “จากภาวะอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากธุรกิจเดิม ทั้งธุรกิจเอทานอล และแป้งมันสำปะหลังที่เป็นธุรกิจต้นน้ำโดยใช้วัตถุดิบทางการเกษตรมันสำปะหลังเป็นหลัก มีความผันผวนจากสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ผลผลิตลดลง บริษัทฯ จึงมีการปรับแผนกลยุทธ์จากเดิม โดยมองโอกาสการลงทุนไปในธุรกิจใหม่ปลายน้ำที่มีศักยภาพในการเติบโต ในขณะที่ธุรกิจเดิมจะมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เราหวังอีกช่องทางหนึ่งว่าร้านอาหารโอชิเนจะช่วยทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมากขึ้น สามารถนำไปต่อยอดสินค้าอื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าให้กับผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทอีกทางหนึ่ง รวมทั้งในมุมของการตอบสนองของลูกค้าจะสามารถทำให้เราต่อยอดในงานวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้อีกด้วย”

การขยายเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารในรูปแบบการควบรวมกิจการ (M&A) ที่มีศักยภาพ และถือเป็นการสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์การเติบโตของบริษัทฯ โดยเฉพาะร้านอาหารสไตล์พรีเมียมบุฟเฟต์มีบรรยากาศเป็นกันเอง ซึ่ง UBE เห็นเล็งถึงศักยภาพร้านอาหารญี่ปุ่น นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยล่าสุดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนใน บริษัท โอชิเน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (“โอชิเน” หรือ “Oshinei”) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ก่อตั้งในปี 2014 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งได้แก่ เชฟกิตติศักดิ์ เชฟสมพร และเชฟบุญธรรม ดีกรีเป็นเชฟกระทะเหล็ก นับเป็นการสอดรับกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้และผลประกอบการทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว ตลอดจนจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ

สำหรับการเข้าลงทุนในโอชิเนในครั้งนี้ จะเป็นการลงทุนครั้งที่ 1 ภายใต้สัญญาจองซื้อหุ้นและสัญญาซื้อขายหุ้น โดยจะทำการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 67,962 หุ้น หรือเท่ากับสัดส่วนร้อยละ 12.75 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในโอชิเนภายหลังจากการเพิ่มทุน คิดเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 76,000,000 บาท และเข้าซื้อหุ้นสามัญเดิมของ โอชิเน จำนวน 251,816 หุ้น หรือเท่ากับสัดส่วนร้อยละ 47.25 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของโอชิเน โดยบริษัทฯ จะชำระค่าตอบแทนเป็นเงินสดจำนวนรวม 281,600,796.48 บาท ซึ่งภายหลังการเข้าลงทุนในโอชิเน ครั้งที่ 1 เสร็จสมบูรณ์ จะส่งผลให้ UBE ถือหุ้นในโอชิเนรวมทั้งสิ้น จำนวน 319,778 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 60.00 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของโอชิเน สำหรับแหล่งเงินทุนในหุ้นสามัญของโอชิเน จำนวน 357.60 ล้านบาท จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ จำนวน 120 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวน 237.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ โอชิเนเป็นแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมาร่วมกว่า 10 ปี ซึ่งดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองหรือ Small Town Strategy โดยมุ่งขยายในตลาดต่างจังหวัดทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 28 สาขา ในจ.อุบลราชธานี จ.เชียงใหม่ และจ.นครปฐม เป็นต้น โดยแบ่งเป็นร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น 27 สาขา และมีการแตกไลน์ธุรกิจเป็นร้านยากินิกุอีก 1 สาขา ด้วยจุดเด่นของโอชิเน ที่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีหลากหลายเมนู แบบพรีเมียมแมส (Premium Mass) จนได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคโดยมีฐานลูกค้าอย่างกว้างขวางจากสาขาที่ขยายอย่างรวดเร็วในช่วงสถานการณ์โควิดในห้วงปี 2564-2566 ที่ผ่านมา โดยแผนธุรกิจหลังจากนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายสาขาใหม่ในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์จะเปิดเพิ่มจำนวน 2-3 สาขาต่อปี รวมทั้งมีแผนขยายสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ เวียดนาม จากปัจจุบันที่มีการเปิดสาขาใน สปป.ลาว จำนวน 1 สาขา โดยวางเป้าหมายธุรกิจอาหาร 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 15 % ของรายได้รวม